เฟซบุ๊กและยูทูปแบนสื่อ SouthFront

เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา Facebook ลบเพจของสื่อ SouthFront ซึ่งมีผู้ติดตามประมาณ 100,000 คน หลังจากนั้นวันที่ 1 พฤษภาคม YouTube ก็ลบช่องของสื่อ SouthFront ภาษาต่างๆซึ่งมีผู้ติดตามรวมกันประมาณ 170,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในช่องภาษาอังกฤษซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 152,000 คน มีคลิปวิดีโอมากกว่า 1,900 คลิป และยอดวิวรวมกันประมาณ 60,000,000 วิว

คนที่สนใจข้อมูลข่าวสารจากสื่อ SouthFront ยังสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ https://southfront.org/

ส่วนตัวผมไม่แปลกใจกับข่าวนี้เท่าไหร่ แม้โซเชียลมีเดียต่างๆจะเป็นแพลทฟอร์มที่เปิดให้คนทั่วโลกใช้งานเผยแพร่แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารได้ แต่แพลทฟอร์มดังกล่าวก็มีเจ้าของ ซึ่งสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ได้ว่าจะให้หรือไม่ให้ข้อมูลแบบไหน จากแหล่งใดเข้ามาเผยแพร่ในแพลทฟอร์มของตนเอง พูดง่ายๆคือมีการเซ็นเซอร์นั่นเอง จะทำแบบเปิดเผยแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง ปัจจุบันโซเชียลมีเดียยอดนิยมส่วนใหญ่เช่น Facebook, Twitter, Instagram, YouTube ฯลฯ ล้วนแต่เป็นของสหรัฐฯทั้งสิ้น อยู่ภายใต้กฎหมายอเมริกัน แม้จะได้รับความนิยมใช้งานทั่วโลกก็ตาม ด้วยเหตุนี้ต่อให้เจ้าของแพลทฟอร์มเหล่านี้ไม่ต้องการลบเพจหรือช่องที่มีท่าทีไม่เห็นด้วยกับนโยบายของสหรัฐฯด้วยตัวเอง แต่ถ้ารัฐบาลสหรัฐฯมีคำสั่งหรือกฎหมายออกมา ก็ต้องปฏิบัติตามอยู่ดี ยกตัวอย่างข่าวเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ Facebook และ Instagram ไล่ลบโพสต์ที่มีเนื้อหาโปรอิหร่าน อ้างว่าทำตามมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ

https://www.rt.com/news/478044-instagram-iran-trump-censorship/

ด้วยเหตุนี้ผมจึงมองว่าการรายงานวิเคราะห์ข่าวการทหารและการเมืองระหว่างประเทศโดยใช้แพลทฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างเดียวนั้นไม่ยั่งยืน เพราะอาจถูกเจ้าของแพลทฟอร์มเตะออกได้ทุกเมื่อ เป็นสาเหตุที่ที่ผ่านมาผมพยายามกระจายความเสี่ยงออกไปเปิดสาขาเพจไว้หลายๆแพลทฟอร์มทั้ง Facebook, VKontakte (VK) และ Blockdit ก่อนจะเปิดเว็บไซต์ของตัวเองในที่สุด จะได้มีช่องทางเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารโดยไม่ต้องพึ่งพาแพลทฟอร์มของคนอื่นครับ

สวัสดี

03.05.2020

แสดงความคิดเห็น