การโจมตีของคนตาย: วีรกรรมของทหารรัสเซียในป้อมโอโซเวียส

ถ้าสมรภูมิแวร์เดิงหรือเวอร์ดัน (Verdun) คือสัญลักษณ์แสดงให้เห็นจิตวิญญาณการต่อสู้ของฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง วีรกรรมของทหารรัสเซียที่ป้อมโอโซเวียส (Osowiec) หรือที่รู้จักกันว่าการโจมตีของคนตาย (Attack of the Dead Men) ในปี ค.ศ.1915 ก็คือสัญลักษณ์การต่อสู้ของรัสเซียในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งครับ

ป้อมโอโซเวียส ถูกสร้างขึ้นสมัยศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศโปแลนด์ ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ กองทัพเยอรมันพยายามเข้าตีป้อมแห่งนี้หลายครั้งในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ภาพทหารรัสเซียบริเวณโบสถ์ในป้อมโอโซเวียส วันที่ 24 มกราคม ค.ศ.1915 (public domain)

กองทัพเยอรมันเข้าตีป้อมโอโซเวียสครั้งแรกในเดือนกันยายน ค.ศ.1914 ใช้กำลังพล 40 กองพัน จากกองทัพที่ 8 โดยก่อนเข้าตีได้ใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มป้อมติดต่อกันนานถึง 6 วัน แต่ทหารราบและปืนใหญ่ของรัสเซียทำการต่อต้านสุดกำลัง จนทหารเยอรมันต้องถอยทัพ

การโจมตีครั้งที่สองเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1915 ครั้งนี้เยอรมันใช้ปืนใหญ่ Big Bertha ขนาด 420 มิลลิเมตร ร่วมกับปืนใหญ่รุ่นอื่นๆ ยิงถล่มป้อมโอโซเวียสอย่างรุนแรง หวังจะให้ทหารรัสเซียในป้อมยอมแพ้ การระดมยิงปืนใหญ่ของเยอรมันส่งผลให้มีทหารรัสเซียเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จนนายทหารระดับสูงของรัสเซียก็เชื่อว่าป้อมโอโซเวียสจะแตกในอีกไม่กี่ชั่วโมง ขอให้ทหารในป้อมพยายามต่อต้านไปจนกว่าจะอพยพพลเรือนออกได้หมด แต่ทหารในป้อมกลับยืนหยัดป้องกันการโจมตีของเยอรมัน สามารถใช้ปืนใหญ่ขับไล่ทหารเยอรมันถอยร่นไปได้อีกครั้ง

สุดท้ายในการโจมตีครั้งที่สาม กองทัพเยอรมันจึงตัดสินใจใช้ก๊าซพิษจัดการกับทหารรัสเซีย เนื่องจากเยอรมันสืบทราบมาว่าทหารรัสเซียในป้อมโอโซเวียสไม่มีหน้ากากป้องกันก๊าซพิษ เยอรมันปล่อยก๊าซคลอรีนเข้าไปในป้อมโอโซเวียสในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1915 ซึ่งทิศทางลมก็เป็นใจให้เยอรมัน ก๊าซพิษส่งผลให้ใบหญ้าบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำ ใบไม้กลายเป็นสีเหลือง ชิ้นส่วนยุทโธปกรณ์ของรัสเซียที่ผลิตจากทองแดงถูกเคลือบและกัดกร่อนโดยสารคลอรีนไดออกไซด์กลายเป็นสีเขียวอ่อน ทหารรัสเซียถูกรมก๊าซเสียชีวิตไปจำนวนมาก จากนั้นทหารเยอรมัน 14 กองพัน รวมกำลังพลประมาณ 7,000 นาย ก็เคลื่อนกำลังเข้าตีป้อมโอโซเวียส ทหารเยอรมันคาดว่าทหารรัสเซียคงเสียชีวิตหมดแล้ว หวังจะยึดป้อมได้โดยไม่มีการต่อต้าน แต่แล้วทหารเยอรมันก็ได้เห็นภาพที่น่าหวาดผวา

ร้อยโทวลาดิมีร์ คัตลินสกี้ (Vladimir Kotlinsky) นำทหารรัสเซียที่ยังรอดชีวิตอยู่ประมาณ 60 – 100 นาย ติดดาบปลายปืน ชาร์จเข้าใส่ทหารเยอรมัน ทหารรัสเซียเหล่านี้ต่างได้รับบาดเจ็บสาหัสจากก๊าซพิษ อาการบาดเจ็บไม่ใช่แค่การสำลักก๊าซพิษธรรมดา แต่เนื่องจากก๊าซคลอรีนไปผสมกับน้ำกลายเป็นกรดไฮโดรคลอริก กัดกร่อนเผาไหม้ใบหน้า ผิวหนัง และอวัยวะภายในของทหารรัสเซียจนเลือดชุ่ม พันผ้าพันแผลไว้ทั้งตัว ตาแดงก่ำ มีเลือดไหลออกจากจมูกและปาก สภาพไม่ต่างจากศพเดินได้ เมื่อทหารเยอรมันเห็นทหารรัสเซียใกล้ตายเหล่านี้ถือไรเฟิลติดดาบปลายปืนพุ่งออกมาจากหมอกก๊าซพิษตรงเข้ามาหาพวกเขา ก็พากันเสียขวัญถอยร่นหนีกระเจิดกระเจิง บางส่วนเหยียบกันตายหรือหนีเข้าไปติดอยู่ในดงรั้วลวดหนามของฝ่ายตัวเอง กลายเป็นเป้านิ่งให้ทหารรัสเซียยิงใส่ได้อย่างสบาย ภายหลังรัสเซียส่งกำลังเสริมมายึดพื้นที่บริเวณรอบๆป้อมที่สูญเสียไปก่อนหน้านี้กลับคืนมาได้ ร้อยโทคัตลินสกี้เสียชีวิตในช่วงเย็นวันนั้นเอง เหตุการณ์ดังกล่าวถูกเรียกว่า “การโจมตีของคนตาย” (Атака мертвецов – Attack of the Dead Men)

ภาพร้อยโทวลาดิมีร์ คัตลินสกี้ ผู้บัญชาการทหารรัสเซียในเหตุการณ์การโจมตีของคนตาย (public domain)

แม้วีรกรรมของทหารรัสเซียใต้บังคับบัญชาของร้อยโทคัตลินสกี้จะสามารถขับไล่ทหารเยอรมันให้ถอยร่นไปได้อีกครั้ง แต่ความสำเร็จดังกล่าวมีผลแค่ช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นกองทัพเยอรมันก็ค่อยๆกระชับวงล้อมป้อมโอโซเวียสเข้ามาทุกด้าน สุดท้ายทหารรัสเซียก็ต้องตัดสินใจทำลายป้อมทิ้งก่อนที่จะถูกล้อม แล้วถอยทัพไประหว่างวันที่ 18 – 22 สิงหาคม ค.ศ.1915

สวัสดี

30.05.2020

เพลง The Attack of the Dead Men โดยวง Sabaton
หนังสั้น Attack of the Dead Men: Osowiec โดย Wargaming

แสดงความคิดเห็น