จากข่าวที่รัฐบาลไทยลงนามร่วมทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มีนักข่าวเขียนข่าวทำนองว่าจะมีการสร้างรันเวย์ใหม่ที่สามารถรองรับเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 และอากาศยานขนาดใหญ่ของสหรัฐฯได้ ประกอบกับนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประชุมหารือกับรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯในเวลาใกล้เคียงกันด้วย ส่งผลให้หลายคนไม่พอใจ คิดว่าไทยจะขยายสนามบินอู่ตะเภาให้สหรัฐฯใช้เป็นฐานทัพ ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 มาประจำเพื่อข่มขู่จีน เป็นการชักศึกเข้าบ้านอะไรทำนองนั้น วันนี้ผมเลยจะพูดถึงประเด็นนี้สักหน่อย
ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนว่าสนามบินอู่ตะเภาต่อให้ไม่มีการสร้างรันเวย์เพิ่ม ก็สามารถรองรับอากาศยานทางทหารขนาดใหญ่ รวมถึงเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ได้อยู่แล้วครับ เพราะเคยเป็นฐานทัพของสหรัฐฯสมัยสงครามเวียดนาม เครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ที่ไปทิ้งระเบิดเวียดนามและลาวสมัยนั้นก็ขึ้นบินจากสนามบินในประเทศไทยรวมถึงสนามบินอู่ตะเภานี่แหละครับ ดังนั้นการสร้างรันเวย์เพิ่มจึงไม่เกี่ยวกับขีดความสามารถในการรองรับเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 เพราะที่มีอยู่เดิมก็รองรับได้อยู่แล้ว แต่มีจุดประสงค์เพื่อให้สนามบินอู่ตะเภาสามารถรองรับจำนวนอากาศยานและเที่ยวบินได้มากขึ้น รองรับการพัฒนาพื้นที่ในอนาคต สำหรับประเด็นนโยบายการถ่วงดุลอิทธิพลของมหาอำนาจสหรัฐฯ จีน ฯลฯ ของไทย ผมจะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป แต่เบื้องต้นขอให้ทุกคนสบายใจได้ว่าการสร้างรันเวย์ใหม่ที่สนามบินอู่ตะเภาไม่เกี่ยวข้องกับการรองรับเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 แน่นอน เพราะของเดิมก็เพียงพอรองรับอยู่แล้ว

พูดถึงเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 และสนามบินอู่ตะเภา ก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงประวัติศาสตร์ไทยกับสงครามเวียดนาม ผมสังเกตหลายคนเวลาพูดถึงเหตุการณ์สมัยนั้น ก็จะกล่าวถึงแค่ตอนที่เวียดนามรวมประเทศได้แล้ว แผ่อิทธิพลเข้ามาในลาวและกัมพูชา เตรียมโจมตีประเทศไทยต่อไป สร้างภาพเวียดนามเป็นผู้ร้าย จู่ๆก็มารุกรานไทยโดยไม่มีเหตุผล แต่ความจริงแล้วสมัยนั้นไทยเป็นสมาชิก SEATO เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐฯมาก จนถือเป็นประเทศโลกที่หนึ่งด้วย (สมัยนั้นแบ่งกลุ่มประเทศเป็นกลุ่มโลกเสรี กลุ่มคอมมิวนิสต์ และประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่เกี่ยวข้องกับฐานะเศรษฐกิจ) ไทยส่งทหารหน่วยจงอางศึกและกองพลเสือดำไปช่วยสหรัฐฯรบในเวียดนาม จัดส่งกำลังพลอาสาสมัครไปเข้าร่วมสงครามลับในลาว เครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐฯที่ไปทิ้งระเบิดเวียดนามและลาวแบบไม่ลืมหูลืมตานั้น ส่วนใหญ่ก็ขึ้นบินจากฐานทัพอากาศในประเทศไทย รวมถึงสนามบินอู่ตะเภา ผมคิดว่าเป็นเรื่องย้อนแย้งที่หลายคนมองสหรัฐฯเป็นผู้ร้ายในสงครามเวียดนาม แต่กลับมองไทยเป็นเพียงเหยื่อผู้บริสุทธิ์ที่ถูกเวียดนามรังแกรุกรานแบบไม่มีเหตุผล
ที่ผมกล่าวเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าเวียดนามเป็นพระเอก ไทยเป็นผู้ร้าย ประวัติศาสตร์จริงๆแล้วมีความซับซ้อนมากกว่าที่สื่อหรือบทเรียนในหลักสูตรนำเสนอมาก มีมุมมองและผลประโยชน์ต่างๆขัดแย้งกันเต็มไปหมด จนแทบไม่สามารถตัดสินว่าใครถูกใครผิด ใครเป็นพระเอก ใครเป็นผู้ร้ายแบบ 100% ได้ สิ่งที่ทุกคนควรทำจึงไม่ใช่การนำเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เมื่อหลายสิบ หลายร้อย หรือหลายพันปีก่อน ซึ่งจบไปแล้ว มาเป็นประเด็นขัดแย้งโจมตีกัน แต่ควรศึกษาประวัติศาสตร์หลายๆมุมมอง เพื่อทำความเข้าใจกันและกัน นำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ที่สำคัญคือผมคิดว่าทุกคนมีสิทธิที่จะภูมิใจในบรรพบุรุษของตนเอง โดยไม่ไปริดรอนบรรพบุรุษของคนอื่น สำหรับผม ทหารผ่านศึกไทยล้วนเป็นวีรบุรุษ ไม่มีข้อสงสัยใดๆ หลายครั้งผมรู้สึกว่าประเทศไทยยังตอบแทนความเสียสละของทหารผ่านศึกในอดีตไม่เพียงพอด้วยซ้ำ แต่ขณะเดียวกันผมก็ชื่นชมทหารผ่านศึกสหรัฐฯ เวียดนาม และประเทศอื่นๆที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ ผมคิดว่าเราไม่ควรนำมาตรฐานปัจจุบันไปตัดสินเหตุการณ์ในอดีต แต่ควรศึกษาเรียนรู้ทำความเข้าใจประวัติศาสตร์จากหลายๆมุมมองให้มากที่สุด นำบทเรียนที่ดีจากประวัติศาสตร์มาประยุกต์ใช้ และป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นซ้ำรอย
สวัสดี
20.06.2020