
แม้สหภาพโซเวียตจะไม่ได้ประกาศเข้าร่วมสงครามเกาหลีในปี ค.ศ.1950 – 1953 อย่างเป็นทางการ แต่โซเวียตก็เป็นผู้สนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับเกาหลีเหนือและจีนคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้โซเวียตยังส่งเครื่องบินขับไล่ MiG-15 (ฝ่าย NATO เรียกว่า Fagot) พร้อมนักบินของตนเอง ให้การสนับสนุนทางอากาศแก่จีนอย่างลับๆด้วย
เครื่องบินขับไล่ MiG-15 เป็นเครื่องบินขับไล่ไอพ่นปีกลู่ ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ.1947 และเข้าประจำการในปี ค.ศ.1949 ติดอาวุธปืนใหญ่อากาศขนาด 23 มิลลิเมตร 2 กระบอกและขนาด 37 มิลลิเมตร 1 กระบอก สำหรับสอยเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่เช่นป้อมบิน B-29 Superfortress ของสหรัฐฯโดยเฉพาะ
สหภาพโซเวียตส่งเครื่องบินขับไล่ MiG-15 ชุดแรกจำนวน 122 ลำมาวางกำลังทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ที่เมืองตานตง ริมฝั่งแม่น้ำยาลู ติดกับชายแดนเกาหลีเหนือในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1950 ต่อมาวันที่ 18 ตุลาคม เครื่องบินตรวจการณ์ RB-29 ของสหรัฐฯตรวจพบ MiG-15 จำนวน 75 ลำในตานตง แต่กองบัญชาการของสหรัฐฯไม่ได้สนใจข่าวนี้มากนัก วันที่ 1 พฤศจิกายน เกิดการปะทะกันครั้งแรกระหว่างฝูงเครื่องบินขับไล่ P-51 Mustang ของสหรัฐฯกับ MiG-15 ของโซเวียตจำนวน 6 ลำบริเวณแม่น้ำยาลู โซเวียตอ้างว่าสามารถยิง P-51 ตก 2 ลำ โดยไม่สูญเสีย MiG-15 แม้แต่ลำเดียว (ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ) ขณะที่สหรัฐฯอ้างว่า P-51 ทั้งหมดสามารถกลับฐานได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร การปะทะกันทางอากาศดังกล่าวควรจะต้องเตือนสหรัฐฯถึงภัยคุกคามจาก MiG-15 แต่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯกลับประเมินผิดพลาดอีก เชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามมี MiG-15 เพียงไม่กี่ลำ ใช้นักบินของเกาหลีเหนือและจีน เมื่อเครื่องบินรบของสหรัฐฯปะทะกับ MiG-15 จำนวนมากบ่อยครั้งขึ้น รวมถึงค้นพบว่านักบิน MiG-15 มาจากโซเวียตก็ถึงกับตกตะลึง
นักบิน MiG-15 ของโซเวียตที่เข้าร่วมสงครามเกาหลีส่วนใหญ่เป็นทหารผ่านศึกจากสงครามโลกครั้งที่สอง ทำนองเดียวกับนักบินของสหรัฐฯและพันธมิตร ถือเป็นเรื่องย้อนแย้งมากเพราะเมื่อไม่กี่ปีก่อนนักบินเหล่านี้ยังร่วมกันต่อสู้กับกองทัพอากาศเยอรมันหรือ Luftwaffe อยู่เลย แต่ตอนนี้ต้องมาเข่นฆ่ากันเองเสียแล้ว การเมืองระหว่างประเทศไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร อย่างไรก็ตามแม้สหภาพโซเวียตจะส่ง MiG-15 พร้อมนักบินของตนเข้าร่วมสงครามเกาหลี แต่โซเวียตก็ต้องการปกปิดเรื่องดังกล่าวเป็นความลับ เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งกับสหรัฐฯบานปลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ MiG-15 ของโซเวียตจึงใช้ตราสัญลักษณ์ของจีน นักบินโซเวียตก็สวมเครื่องแบบของจีนหรือชุดพลเรือน การติดต่อสื่อสารทางวิทยุก็ได้รับคำสั่งให้ใช้ภาษาจีน มีการจดโพยคำสั่งพื้นฐานต่างๆเป็นภาษาจีนด้วยอักษรซีริลลิกติดไว้ในห้องนักบิน แต่สุดท้ายความก็แตกจนได้ เนื่องจากระหว่างการรบดุเดือด นักบินโซเวียตมักอุทานหรือสบถเป็นภาษารัสเซีย แทนที่จะใช้ภาษาจีนตามโพยที่จดไว้ แล้วฝ่ายสหรัฐฯสามารถดักฟังได้ นอกจากนี้สหรัฐฯยังพบร่างของนักบินโซเวียตในซาก MiG-15 ที่ถูกยิงตกด้วย อย่างไรก็ตามฝ่ายสหรัฐฯก็ไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องนี้สู่สาธารณะเช่นกัน เพราะกลัวว่าจะเกิดกระแสเรียกร้องให้ทำสงครามกับโซเวียต ซึ่งจะนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ กว่าเรื่องนี้จะเป็นที่รับรู้แพร่หลายก็ต้องรอถึงยุค 90 หลังสงครามเย็นสิ้นสุดลงแล้ว
ในช่วงแรกๆของสงครามเกาหลี MiG-15 มีขีดความสามารถเหนือกว่าเครื่องบินขับไล่ทุกรุ่นของสหรัฐฯรวมถึง F-80 Shooting Star และ F-84 Thunderjet สามารถยิงเครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 ของสหรัฐฯตกจำนวนมาก ยกตัวอย่างวันที่ 12 เมษายน ค.ศ.1951 มี B-29 ถูกยิงตกถึง 25 ลำ ส่งผลให้สหรัฐฯต้องระงับปฏิบัติการทิ้งระเบิดเวลากลางวัน หันไปทิ้งระเบิดเฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น เท่ากับว่า MiG-15 จำนวนไม่กี่ลำในสงครามเกาหลีสามารถทำในสิ่งที่กองทัพอากาศเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สองล้มเหลว คือการขจัดเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐฯออกไปจากน่านฟ้า เปิดทางให้กองทัพจีนเข้าแทรกแซงสงครามเกาหลีได้โดยสะดวก
กว่าสหรัฐฯจะแก้ไขสถานการณ์ได้ก็ต้องรอเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่คือ F-86 Sabre เข้าประจำการจำนวนมากก่อน ขีดความสามารถพื้นฐานของ F-86 นั้นใกล้เคียงกับ MiG-15 แต่ F-86 มีข้อได้เปรียบหลายประการเช่น F-86 มีความเร็วสูงกว่าและพิสัยปฏิบัติการไกลกว่า โดยพื้นที่ปฏิบัติการของ MiG-15 จะจำกัด อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า MiG Alley ใกล้กับฐานทัพอากาศของโซเวียตที่ตานตงในจีนเท่านั้น ขณะที่ F-86 สามารถบินมาจากฐานทัพอากาศบริเวณกรุงโซล และปฏิบัติการในเขต MiG Alley ได้นานกว่า MiG-15 เสียอีก นอกจากนี้อาวุธของ F-86 ได้แก่ปืนกล 12.7 มิลลิเมตร 6 กระบอก ยังเหมาะสำหรับการ dogfight มากกว่าปืนใหญ่อากาศขนาด 23 และ 37 มิลลิเมตรของ MiG-15 ที่ออกแบบมาใช้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดเป็นหลัก ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวโจเซฟ สตาลิน ผู้นำโซเวียตมีคำสั่งย้ายนักบินฝีมือดีของโซเวียตออกจากพื้นที่ เหลือไว้แต่นักบินรุ่นใหม่ รวมถึงนักบินจีนและเกาหลีเหนือที่ขาดประสบการณ์ ส่งผลให้นักบินสหรัฐฯสามารถเก็บแต้มสังหารได้มาก สหรัฐฯอ้างว่า F-86 สามารถยิง MiG-15 ตกได้ในอัตราส่วนถึง 1:14 ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกินจริงไปมาก ปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 1:7 กว่าสหภาพโซเวียตจะส่งนักบินฝีมือดีกลับมาที่เกาหลีก็ปี ค.ศ.1953 แต่หลังจากนั้นไม่นานสตาลินก็ถึงแก่อสัญกรรม เปิดโอกาสให้มีการเจรจาสงบศึกสงครามเกาหลีกันได้ในที่สุด
สวัสดี
21.09.2020