
(Bandanschik/ Wikimedia Commons/ CC BY-SA 3.0)
เดือนเมษายน ค.ศ.1946 สหภาพโซเวียตมีแผนจะพัฒนาปืนใหญ่รุ่นใหม่สำหรับทดแทนปืนใหญ่ขนาด 122 และ 152 มิลลิเมตรจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีผู้เข้าประกวดได้รับคัดเลือก 2 รายคือโรงงานหมายเลข 172 เสนอปืนใหญ่ขนาด 130 มิลลิเมตรรุ่น M-46 และปืนใหญ่ขนาด 152 มิลลิเมตรรุ่น M-47 ขณะที่โรงงานผลิตปืนใหญ่หมายเลข 9 เสนอปืนใหญ่ขนาด 122 มิลลิเมตรรุ่น D-74 และปืนใหญ่ขนาด 152 มิลลิเมตรรุ่น D-20 ออกแบบโดยฟิโอดอร์ เปตรอฟ (Fyodor Petrov) จะเห็นได้ว่าปืนใหญ่ D-74 นั้นเป็นคู่แข่งโดยตรงของ M-46 แม้สุดท้ายทั้งสองรุ่นจะได้รับคัดเลือกเข้าสู่สายการผลิตเหมือนกัน แต่ในระยะยาว M-46 ประสบความสำเร็จมากกว่า เพราะมีขนาดกระสุนใหญ่กว่าและระยะยิงไกลกว่า ปืนใหญ่ M-46 เข้าสู่สายการผลิตในปี ค.ศ.1951 แต่พึ่งเปิดตัวสู่สาธารณะครั้งแรกในปี ค.ศ.1954 ระหว่างการสวนสนามในกรุงมอสโก ตะวันตกจึงตั้งชื่อปืนใหญ่รุ่นนี้ว่า M1954
ปืนใหญ่ M-46 มีน้ำหนัก 7.7 ตัน ใช้พลประจำปืน 8 นาย อัตราการยิง 6 – 8 นัดต่อนาที ระยะยิง 27.5 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในปืนใหญ่ที่มีระยะยิงไกลที่สุดสมัยสงครามเย็น มีใช้งานในประเทศต่างๆมากกว่า 25 ประเทศทั่วโลก บางประเทศเช่นจีนได้ผลิตปืนใหญ่ M-46 ภายใต้สิทธิบัตรชื่อรุ่น Type-59 (จีนได้พัฒนากระสุนต่อระยะซึ่งมีระยะยิงไกลถึง 38 กิโลเมตรด้วย) ในภูมิภาคอาเซียนมีใช้งานในเวียดนาม ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ และไทย (ของไทยเป็นรุ่น Type-59 จากจีน) ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายสมัยสงครามเวียดนาม รวมถึงในสมรภูมิร่มเกล้า
กองทัพโซเวียตใช้งานปืนใหญ่ M-46 จนถึงช่วงปลายยุค 70 ผลิตออกมามากกว่า 6,500 กระบอก ก่อนจะทยอยทดแทนด้วยปืนใหญ่ขนาด 152 มิลลิเมตร 2A36 Giatsint-B และปืนใหญ่อัตตาจรขนาด 152 มิลลิเมตร 2S5 Giatsint-S สำหรับกองทัพรัสเซียเคยมีปืนใหญ่ M-46 ประจำการอยู่ประมาณ 650 กระบอก แต่ปัจจุบันปลดประจำการไปหมดแล้ว
สวัสดี
24.04.2021