
(Bundesarchiv, B 145 Bild-F016223-0024 / CC-BY-SA 3.0)
กองพลยานเกราะที่ 22 (22nd Panzer Division) ของกองทัพเยอรมัน (Wehrmacht) ในสงครามโลกครั้งที่สอง จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ.1941 โดยใช้รถถังที่ยึดได้จากเชโกสโลวาเกียคือรถถังเบารุ่น Panzer 38(t), รถถังที่ยึดได้จากฝรั่งเศส และรถถังรุ่นเก่าของเยอรมันมารวมกัน กองพลยานเกราะที่ 22 เป็นกองพลยานเกราะของเยอรมันกองพลสุดท้ายที่ได้รับรถถัง Panzer 38(t) ไปใช้งาน แม้รถถังรุ่นนี้จะมีประสิทธิภาพสูง ไว้ใจได้ แต่เนื่องจากเป็นรถถังเบาที่ติดอาวุธเพียงปืนใหญ่ขนาด 37 มิลลิเมตร จึงยิงรถถังรุ่นใหม่ๆของฝ่ายสัมพันธมิตรแทบไม่เข้าแล้ว นอกจากนี้เกราะยังบางมากด้วย แต่ที่เยอรมันไม่จัดรถถังที่ดีกว่านี้ให้กองพลนี้ใช้งาน เพราะขณะนั้นเยอรมันกำลังต้องการกำลังเสริมในแนวรบด้านตะวันออกกับสหภาพโซเวียตให้มากที่สุด เรียกว่าในคลังมีรถถังรุ่นไหนสำรองไว้ก็นำออกไปใช้ก่อน ประสิทธิภาพค่อยว่ากันทีหลัง
เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1942 กองพลยานเกราะที่ 22 ถูกส่งไปแนวรบด้านตะวันออกทั้งที่ยังทำการฝึกไม่เสร็จสมบูรณ์ เพื่อเสริมกำลังให้กองทัพที่ 11 ของนายพลเอริช ฟอน มันชไตน์ (Erich von Manstein) ตั้งรับการโจมตีของกองทัพโซเวียตที่ยกพลขึ้นบกบริเวณคาบสมุทรเคิร์ชทางตะวันออกของไครเมีย วันที่ 20 มีนาคม มันชไตน์ออกคำสั่งให้กองพลยานเกราะที่ 22 เข้าโจมตีที่มั่นของโซเวียตทั้งที่ยังไม่พร้อม ยานเกราะกองพันหนึ่งแล่นไปเจอทุ่งกับระเบิด ไปต่อไม่ได้ อีกกองพันหนึ่งหลงทางในหมอก และมีอีกหนึ่งกองพันที่ดวงซวยแล่นเข้าไปเจอปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 45 มิลลิเมตรของโซเวียตจำนวนมาก ส่งผลให้กองพันดังกล่าวสูญเสียรถถังไปถึง 40% จนต้องยกเลิกการโจมตีภายในเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น กองพลยานเกราะที่ 22 สูญเสียรถถังไป 32 คันจากทั้งหมด 142 คัน ประกอบด้วยรถถัง Panzer 38(t) จำนวน 17 คัน Panzer II จำนวน 9 คันและ Panzer IV จำนวน 6 คัน มันชไตน์ยอมรับว่าส่งกองพลยานเกราะที่ 22 ที่ขาดประสบการณ์ออกไปทั้งที่ยังไม่พร้อม แต่ก็บอกว่าปฏิบัติการดังกล่าวมีความจำเป็นเพื่อให้การเตรียมการรุกของโซเวียตเสียศูนย์
แม้จะเปิดตัวได้ไม่ดีนัก แต่กองพลยานเกราะที่ 22 ก็ยังคงวางกำลังอยู่ในไครเมีย และต่อมาในเดือนพฤษภาคมก็เป็นหัวหอกสำคัญในปฏิบัติการ Bustard Hunt ของมันชไตน์ ตีกองทัพโซเวียตจนแตกพ่ายข้ามช่องแคบเคิร์ชกลับไป หลังจากนั้นกองพลยานเกราะที่ 22 ก็ถูกส่งขึ้นเหนือไปที่เมืองฮาร์คอฟ (Kharkov) เพื่อเตรียมร่วมปฏิบัติการรุกไปยังเทือกเขาคอเคซัสและสตาลินกราดตามแผนน้ำเงิน (Case Blue)
กองพลยานเกราะที่ 22 ข้ามแม่น้ำดอน มุ่งหน้าไปยังเมืองสตาลินกราด ระหว่างสมรภูมิสตาลินกราด กองพลยานเกราะที่ 22 ได้รับมอบหมายภารกิจร่วมกับกองพลยานเกราะที่ 1 ของโรมาเนีย ให้คอยสนับสนุนกองทัพที่ 3 ของโรมาเนีย คุ้มกันปีกด้านเหนือให้กองทัพที่ 6 ของเยอรมันในสตาลินกราด ถือเป็นภารกิจที่หนักหน่วงมาก เพราะรถถังของกองพลยานเกราะที่ 22 ส่วนใหญ่เป็นรถถังรุ่นเก่าตามที่กล่าวไปแล้ว ไม่สามารถสู้กับรถถังกลาง T-34 และรถถังหนัก KV-1 ของโซเวียตได้ ขณะที่กองพลยานเกราะที่ 1 ของโรมาเนียก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกันคือมีรถถังเบา Panzer 35(t) หรือที่โรมาเนียเรียกว่ารุ่น R-2 จำนวน 121 คันและรถถัง Panzer III กับ Panzer IV อีก 19 คัน
นอกจากรถถังจะมีขีดความสามารถไม่พอแล้ว กองทัพเยอรมันยังประสบปัญหาขาดแคลนยุทโธปกรณ์รวมถึงเชื้อเพลิง ส่งผลให้รถถังของกองพลยานเกราะที่ 22 ต้องถูกจอดทิ้งไว้เป็นเวลานาน โดยใช้ฟางคลุมไว้เพื่อป้องกันน้ำแข็ง แต่ก็ส่งผลให้มีหนูเข้าไปอาศัยอยู่ในฟางและรถถัง กัดสายไฟได้รับความเสียหาย เมื่อกองทัพโซเวียตเริ่มปฏิบัติการยูเรนัส (Operation Uranus) ในวันที่ 19 พฤศจิกายน โจมตีปีกทั้งสองข้างแล้วโอบล้อมกองทัพที่ 6 ของเยอรมันในสตาลินกราด กองพลยานเกราะที่ 22 มีรถถัง Panzer 38(t) อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเพียง 30 คัน ต้องรับมือการโจมตีของรถถัง T-34 จำนวนมหาศาล หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน กองพลยานเกราะที่ 22 ก็ถูกกวาดล้าง กำลังพลที่เหลืออยู่ต่างกระจัดกระจายไปเข้าร่วมกองกำลังเฉพาะกิจ (Kampfgruppe) ต่างๆ ขณะที่กองพลยานเกราะที่ 1 ของโรมาเนียแม้จะทำผลงานได้ดีกว่า สามารถทำลายรถถังโซเวียตได้จำนวนมาก แต่ก็ค่อยๆถูกลดทอนกำลังไปเรื่อยๆ รถถังบางส่วนถูกโซเวียตทำลาย บางส่วนถูกทิ้งเนื่องจากขาดอะไหล่และเชื้อเพลิง เมื่อถึงช่วงต้นปี ค.ศ.1943 กองพลยานเกราะที่ 1 ของโรมาเนียก็เหลือรถถังอยู่เพียง 40 คัน ต้องถอนตัวออกจากแนวรบไปในที่สุด
กองทัพเยอรมันยุบกองพลยานเกราะที่ 22 อย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน ค.ศ.1943
สวัสดี
01.05.2021