
จอมพลเกออร์กี ชูคอฟ (Georgy Zhukov) เป็นหนึ่งในนายทหารที่มีชื่อเสียงที่สุดของสหภาพโซเวียตในสงครามโลกครั้งที่สอง มีบทบาทสำคัญในแทบทุกสมรภูมิตั้งแต่การปะทะบริเวณชายแดนภาคตะวันออกไกลกับญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1939 ไปจนถึงมหาสงครามรักชาติ (The Great Patriotic War) กับนาซีเยอรมนีระหว่างปี ค.ศ.1941 – 1945 จนได้รับฉายาว่าจอมพลแห่งชัยชนะ (Marshal of Victory) ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์วีรชนแห่งสหภาพโซเวียต (Hero of the Soviet Union) ถึง 4 ครั้ง
ชูคอฟเกิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ.1896 ที่หมู่บ้านสเตรลคอฟกา (Strelkovka) ห่างจากกรุงมอสโกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 80 กิโลเมตร (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นหมู่บ้านชูคอฟเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา) ครอบครัวของชูคอฟมีฐานะยากจน พ่อของชูคอฟเป็นช่างทำรองเท้า ส่วนแม่เป็นเกษตรกร ความเป็นอยู่ของครอบครัวชูคอฟยิ่งยากลำบากขึ้น หลังพ่อของเขาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความพยายามก่อการปฏิวัติรัสเซียในปี ค.ศ.1905 (1905 Russian Revolution) ซึ่งประสบความล้มเหลว ส่งผลให้พ่อของชูคอฟถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ากรุงมอสโก จึงหางานทำได้ยากมาก
ในปี ค.ศ.1908 เมื่อชูคอฟอายุ 11 ขวบ เขาก็ถูกส่งไปฝึกงานกับลุงในกรุงมอสโก แม้ชีวิตความเป็นอยู่จะยากลำบาก แต่ชูคอฟก็ใช้เวลาว่างศึกษาหาความรู้อย่างสม่ำเสมอ มีความเป็นไปได้ว่าถ้าชูคอฟเลือกเดินตามเส้นทางนี้ต่อไปในอนาคต เขาก็อาจได้ทำงานในแวดวงการศึกษา แต่ทว่าในปี ค.ศ.1914 กลับเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งขึ้นเสียก่อน ชูคอฟถูกเกณฑ์เป็นทหารสังกัดกรมทหารม้าดรากูนนอฟโกรอดที่ 10 (10th Dragoon Novgorod Regiment) การที่ชูคอฟเป็นคนมีการศึกษา ส่งผลให้เขามีโอกาสได้รับการฝึกเป็นนายทหาร สำเร็จการฝึกในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1916 และได้ออกรบระหว่างการรุกของจอมพลบรูซิลอฟ (Brusilov offensive) เขาปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ ครั้งหนึ่งเขาสามารถจับกุมนายทหารเยอรมันได้จนได้รับเหรียญกล้าหาญเซนต์จอร์จ (Cross of St. George) แต่ทว่าในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ชูคอฟก็ได้รับบาดเจ็บจากระเบิด ส่งผลให้เขาถูกส่งกลับไปรักษาตัวในแนวหลังและได้รับเหรียญกล้าหาญเซนต์จอร์จเหรียญที่สอง

(Wikimedia Commons/ Public Domain)
เมื่อชูคอฟกลับมาเข้าร่วมหน่วยทหารในปี ค.ศ.1917 ก็เกิดการปฏิวัติรัสเซีย (Russian Revolution) ขึ้นพอดี ชูคอฟเข้าร่วมพรรคบอลเชวิก (Bolshevik) การที่เขามาจากครอบครัวที่ยากจน ส่งผลให้เรื่องราวของเขาเป็นเครื่องมือสำหรับการโฆษณาชวนเชื่อได้เป็นอย่างดี ชูคอฟต้องการเข้าร่วมกองกำลังเรดการ์ด (Red Guards) ของพรรคบอลเชวิก แต่เขากลับล้มป่วยด้วยโรคไข้รากสาดใหญ่ (Typhus) เสียก่อน เมื่อเขาหายดีแล้ว ก็เข้าร่วมกับกองทัพแดง (Red Army) ออกรบในสงครามกลางเมืองรัสเซีย (Russian Civil War) สังกัดกองพลน้อยทหารม้าที่ 2 (Second Cavalry Brigade) ใต้บังคับบัญชาของเซมยอน ทิโมเชงโก (Semyon Timoshenko)
ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1919 ชูคอฟได้รับบาดเจ็บระหว่างการสู้รบใกล้เมืองซาริตซิน (Tsaritsyn) ซึ่งในอนาคตจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสตาลินกราด (Stalingrad) ชูคอฟได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม ค.ศ.1920 และในปีเดียวกันก็ได้รับการฝึกเป็นนายทหารม้า ต่อมาชูคอฟก็มีบทบาทในการปราบกบฏตัมบอฟ (Tambov Rebellion) ในปี ค.ศ.1921 ส่งผลให้เขาได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ธงแดง (Order of the Red Banner)
เมื่อสงครามกลางเมืองรัสเซียสิ้นสุดลง ทหารในกองทัพแดงซึ่งมีกำลังพลมากกว่า 5,500,000 นาย ถูกปลดประจำการเหลือเพียง 500,000 นาย ถือเป็นโชคดีของชูคอฟที่เขายังได้อยู่ในกองทัพต่อไป และมีโอกาสก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1923 เขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกรมทหารม้าที่ 39 ( 39th Cavalry Regiment) หลังจากนั้นชูคอฟก็ได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมหลักสูตรสำหรับนายทหารระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ได้เรียนรู้หลักนิยมสงครามสมัยใหม่

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1930 ชูคอฟได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองพลน้อยทหารม้าที่ 2 (2nd Cavalry Brigade) สังกัดกองพลทหารม้าที่ 7 (7th Cavalry Division) อยู่ใต้บังคับบัญชาของคอนสแตนติน โรคอสซอฟสกี (Konstantin Rokossovsky) ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1931 ชูคอฟก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจการณ์กองทหารม้าของกองทัพแดงทั้งหมด (Assistant Inspector of Cavalry for the Red Army) ก่อนจะได้เป็นผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 4 (4th Cavalry Division) ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1933 ในช่วงเวลานี้สหภาพโซเวียตเริ่มมีการใช้งานรถถังแพร่หลายมากขึ้น และชูคอฟก็ให้ความสนใจติดตามพัฒนาการของยุทโธปกรณ์ชนิดใหม่นี้อย่างใกล้ชิด
เมื่อเกิดการกวาดล้างใหญ่ (The Great Purge) ระหว่างปี ค.ศ.1936 – 1938 หน้าที่การงานของชูคอฟก็เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขาได้รับการเลื่อนยศขึ้นมาแทนนายทหารที่ถูกสตาลิน (Stalin) กวาดล้างไป และได้เป็นผู้บัญชาการกองทัพน้อยทหารม้าที่ 3 (3rd Cavalry Corps) และกองทัพน้อยทหารม้าที่ 6 (6th Cavalry Corps ) ในปี ค.ศ.1937
ในปี ค.ศ.1938 ชูคอฟก็ได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยทหารม้าของมณฑลทหารเบลารุส (Belorussian Military District) ต่อมาในปีเดียวกัน ชูคอฟก็ถูกส่งไปยังภาคตะวันออกไกล เพื่อตรวจการณ์พื้นที่แนวหน้าบริเวณชายแดนซึ่งกำลังเกิดการปะทะกันระหว่างกองทัพโซเวียตและญี่ปุ่น ชูคอฟพบว่านายทหารโซเวียตที่แนวหน้านั้นดำเนินกลยุทธ์ผิดพลาดมาก เมื่อเขาส่งรายงานกลับไปยังกรุงมอสโก เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพโซเวียตในแนวหน้ารบกับญี่ปุ่นแทน และสมรภูมิแห่งนี้เองก็จะเป็นสมรภูมิแจ้งเกิดของชูคอฟ
โปรดติดตามตอนต่อไป
สวัสดี
12.07.2021