
(Tech. Sgt. Boyd Belcher/ U.S. Army/ Public Domain)
ในช่วงทศวรรษ 1960 – 1970 สหรัฐฯร่วมมือกับเยอรมนีตะวันตกพยายามพัฒนารถถังรุ่นใหม่ เพื่อถ่วงดุลกับรถถัง T-64 และ T-72 ของสหภาพโซเวียต ชื่อโครงการ MBT-70 ในขณะเดียวกันสหรัฐฯก็มีโครงการจะเปลี่ยนรถถัง M60A1 ไปใช้ในภารกิจสนับสนุนทหารราบ โดยเปลี่ยนป้อมปืนไปติดปืนใหญ่ขนาด 152 มิลลิเมตรลำกล้องสั้นแบบเดียวกับรถถังเบา M551 Sheridan เรียกว่ารถถัง M60A2 Starship ในขณะเดียวกันสหรัฐฯก็จะนำป้อมปืนขนาด 105 มิลลิเมตรของรถถัง M60A1 ที่ถอดออกมานั้นไปติดให้ตัวรถถัง M48 ชื่อรุ่น M48A4 ใช้งานขัดตาทัพระหว่างที่รอรถถัง MBT-70 เข้าประจำการ แต่สุดท้ายโครงการที่ว่ามาทั้งหมดนี้ล้วนประสบความล้มเหลว หรือมีประสิทธิภาพไม่น่าพึงพอใจ ในส่วนของรถถังรุ่นใหม่ หลังเยอรมนีตะวันตกแยกตัวจากโครงการ MBT-70 สหรัฐฯก็พยายามพัฒนารถถังรุ่นใหม่เองในชื่อ XM-803 แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดเช่นกัน สหรัฐฯไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอัพเกรดรถถัง M60A1 ใช้งานไปก่อน รถถัง M60A3 จึงถือกำเนิดขึ้น เป็นรถถังรุ่นสุดท้ายในตระกูล Patton
รถถัง M60A3 ผลิตโดยบริษัท Chrysler เข้าประจำการในปี ค.ศ.1978 มีน้ำหนัก 52 ตัน มีความยาว 9.3 เมตรเมื่อหันป้อมปืนไปด้านหน้า ส่วนตัวรถมีขนาดยาว 6.94 เมตร กว้าง 3.63 เมตร สูง 3.21 เมตร ใช้พลประจำรถ 4 นายได้แก่ ผบ.รถถัง พลขับ พลยิง และพลบรรจุ อาวุธหลักได้แก่ปืนใหญ่ M68 ขนาด 105 มิลลิเมตร บรรทุกกระสุน 63 นัด ส่วนอาวุธรองได้แก่ปืนกลร่วมแกน M240 ขนาด 7.62 มิลลิเมตร และปืนกลหนัก M85 ขนาด 12.7 มิลลิเมตร ระบบขับเคลื่อนใช้เครื่องยนต์ดีเซล Continental AVDS-1790-2C ขนาด 750 แรงม้า มีความเร็วสูงสุด 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะปฏิบัติการ 500 กิโลเมตร
รูปร่างภายนอกของรถถัง M60A3 คล้ายกับรถถัง M60A1 มาก ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือรถถัง M60A3 มีกล้องตรวจจับความร้อนสำหรับรถถัง (Tank Thermal Sight หรือ TTS บางครั้งจึงเรียกรถถังรุ่นนี้ว่า M60A3 TTS) ส่งผลให้ไม่ต้องใช้ไฟฉายอินฟราเรดเหมือนรถถัง M60A1 ในส่วนของรายละเอียดแปลกย่อยที่แตกต่างกันก็คือรถถัง M60A3 จะมีปลอกระบายความร้อนหุ้มลำกล้องปืนใหญ่ และมีระบบเซนเซอร์วัดความเร็วและทิศทางลม รูปร่างคล้ายเสาอากาศเล็กๆบนป้อมปืน ในขณะที่รถถัง M60A1 ไม่มี
รถถัง M60A3 ออกรบครั้งแรกระหว่างสงครามกลางเมืองเลบานอน ในปี ค.ศ.1982 โดยอิสราเอลใช้รถถัง M60A3 รุ่นอัพเกรดเรียกว่า Magach 6 สามารถทำลายรถถัง T-34, T-55, T-62 และ T-72M1 ของซีเรียได้เป็นจำนวนมาก แต่รถถัง Magach 6 หลายคันก็ถูกทำลายด้วยจรวด RPG, ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง (ปรส.) และจรวดต่อสู้รถถังของซีเรียเช่นกัน รถถัง Magach 6 คันหนึ่งถูกซีเรียยึดได้ในสภาพเกือบสมบูรณ์พร้อมกระสุน และส่งต่อให้สหภาพโซเวียตนำไปศึกษา ส่งผลให้ข้อมูลเทคโนโลยี รวมถึงกระสุนเจาะเกราะ APFSDS รุ่นใหม่ M111 Hetz-6 ตกไปอยู่ในมือของโซเวียต
ระกว่างสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี ค.ศ.1991 แม้สหรัฐฯจะส่งรถถัง M60A3 ไปวางกำลังในซาอุดิอาระเบียด้วย แต่สุดท้ายรถถังสหรัฐฯที่ได้ออกรบจริงระหว่างการรุกภาคพื้นดิน 100 ชั่วโมง กลับมีเพียงรถถัง M1 Abrams ของกองทัพบกสหรัฐฯและรถถัง M60A1 ของนาวิกโยธินสหรัฐฯเท่านั้น
หลังสงครามอ่าวเปอร์เซีย ทั้งกองทัพบกและนาวิกโยธินสหรัฐฯต่างก็ทยอยปลดประจำการรถถัง M60A3 จนหมดในปี ค.ศ.1997 ทดแทนด้วยรถถัง M1 Abrams แต่รถถัง M60A3 ยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในประเทศต่างๆเช่นอียิปต์ ตุรกี ไต้หวัน ซาอุดิอาระเบีย โมร็อกโก บาห์เรน ไทย ฯลฯ มาจนถึงปัจจุบัน
กองทัพบกไทยมีรถถัง M60A3 ใช้งานอยู่ 125 คัน จัดหามาในปี ค.ศ.1996 ผ่านการใช้งานจริงระหว่างการสู้รบกับเมียนมาร์ที่เนิน 9631 ในปี ค.ศ.2001 และการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ค.ศ.2011
สวัสดี
13.07.2021