
วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 กองทัพเรือญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือเพิร์ล ฮาร์เบอร์ (Pearl Harbor) ของสหรัฐฯในหมู่เกาะฮาวาย เป็นการเปิดฉากสงครามแปซิฟิก (Pacific War) ในสงครามโลกครั้งที่สอง กองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว สูญเสียเรือรบและเครื่องบินรบไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้กองทัพบกและกองทัพเรือญี่ปุ่นเปิดฉากการรุกรบทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้อย่างสะดวกเป็นเวลานานถึงหกเดือน ผู้บัญชาการของญี่ปุ่นในการโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ก็คือพลเรือเอก อิโซโรกุ ยามาโมโตะ (Isoroku Yamamoto)
อิโซโรกุ ยามาโมโตะ เดิมมีชื่อว่าอิโซโรกุ ทาคาโนะ (Isoroku Takano) เกิดที่เมืองนางาโอกะ (Nagaoka) ในจังหวัดนีงาตะ (Niigata) บนเกาะฮอนชู เมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ.1884 พ่อของเขาชื่อซาดาโยชิ ทาคาโนะ (Sadayoshi Takano) เป็นซามูไรซึ่งมีส่วนร่วมในการก่อกบฏต่อต้านรัฐบาลเมื่อปี ค.ศ.1877 ส่งผลให้หางานทำยากและต้องใช้ชีวิตอย่างยกลำบาก ยามาโมโตะเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัว โดยชื่ออิโซโรกุแปลว่า “56” ซึ่งเป็นอายุของพ่อตอนที่เขาเกิด ต่อมาพ่อของยามาโมโตะสามารถหางานทำได้โดยการเป็นครู ส่งผลให้เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาหาความรู้
ในปี ค.ศ.1901 ยามาโมโตะเข้าเรียนในโรงเรียนนายเรือ และสำเร็จการศึกษาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1904 และได้เข้าร่วมรบในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War) ประจำการบนเรือลาดตระเวน นิสชิน (Nisshin) เขาได้รับบาดเจ็บระหว่างยุทธนาวีสึชิมา (Battle of Tsushima) จนเสียนิ้วมือข้างซ้ายไป 2 นิ้ว หลังจากได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว เขาได้ประจำการบนเรือรบต่างๆจำนวน 3 ลำและได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนสหรัฐฯเป็นครั้งแรก ต่อมาในปี ค.ศ.1914 เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือและได้รับยศนาวาตรีในปี ค.ศ.1916
ในปี ค.ศ.1916 นี้เอง ยามาโมโตะได้เปลี่ยนนามสกุล เนื่องจากพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่ปี ค.ศ.1912 และการที่เขาเป็นลุกคนสุดท้อง มีพี่ชาย ส่งผลให้เขาไม่มีโอกาสได้เป็นผู้นำตระกูลทาคาโนะ ตระกูลยามาโมโตะ (Yamamoto) ซึ่งเป็นครอบครัวซามูไรเช่นกันแต่ไม่มีลูกชาย จึงได้รับเขาเป็นลูกบุญธรรมเพื่อเป็นว่าที่ผู้นำตระกูลในอนาคต เขาจึงใช้นามสกุลยามาโมโตะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาแต่งงานในปี ค.ศ.1918 และในปี ค.ศ.1919 ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นทูตทหารเรือญี่ปุ่นในสหรัฐฯ
ยามาโมโตะได้เข้าเรียนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard) นอกจากนี้เขายังให้ความสนใจศึกษาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมัน เขายังเริ่มติดนิสัยชอบเล่นการพนันขณะอยู่ในสหรัฐฯด้วย ยามาโมโตะกลับญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1921 และได้รับตำแหน่งเป็นอาจารย์ในโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือเป็นเวลา 5 ปี เขายังคงให้ความสนใจศึกษาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมัน และเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องการบิน
ในปี ค.ศ.1926 ยามาโมโตะถูกส่งไปสหรัฐฯอีกครั้งเป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะได้เป็นกัปตันเรือลาดตระเวนอีซูซุ (Isuzu) ในปี ค.ศ.1928 และในปีเดียวกันก็ได้เป็นกัปตันเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของญี่ปุ่น อาคากิ (Akagi)
การที่ยามาโมโตะมีความรู้ภาษาอังกฤษ ส่งผลให้เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของคณะนายทหารเรือของญี่ปุ่นเข้าร่วมการประชุมสนธิสัญญารัฐนาวีกรุงลอนดอน (London Naval Treaty) ในปี ค.ศ.1930 ขณะมียศเป็นพลเรือตรี และได้เข้าร่วมการประชุมอีกครั้งในปี ค.ศ.1935 ขณะมียศเป็นพลเรือโท หลังกลับญี่ปุ่น เขาก็ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงทหารเรือ ดูแลแผนกการบินทหารเรือ มีส่วนร่วมในการพัฒนายุทโธปกรณ์รุ่นใหม่ๆเช่นเครื่องบินโจมตี Type-96
ในช่วงเวลานี้ความขัดแย้งทางการเมืองในญี่ปุ่นเริ่มรุนแรงมากขึ้น วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1936 มีความพยายามก่อรัฐประหาร ฝ่ายชาตินิยมในญี่ปุ่นมีอำนาจทางการเมืองมากขึ้น แต่ยามาโมโตะกลับคัดค้านนโยบายทำสงครามกับจีนและการเข้าร่วมฝ่ายอักษะ เป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและอิตาลี ในปี ค.ศ.1937 ส่งผลให้เขาถูกขู่ฆ่าหลายครั้ง
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1939 เยอรมนีทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกันกับสหภาพโซเวียต (Molotov–Ribbentrop Pact) ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่กองทัพบกญี่ปุ่นพ่ายแพ้ต่อโซเวียตในสมรภูมิฮาลฮิน โกล (Khalkhin Gol) เป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในญี่ปุ่น วันที่ 23 สิงหาคม รัฐบาลญี่ปุ่นลาออกทั้งคณะ ยามาโมโตะจึงต้องออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงทหารเรือไปด้วย แต่เขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองเรือผสม (Combined Fleet) แทน ตำแหน่งนี้ช่วยให้เขารอดพ้นจากการถูกลอบสังหารโดยฝ่ายตรงข้ามได้

วันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ.1940 ยามาโมโตะได้รับการเลื่อนยศเป็นพลเรือเอก ในช่วงเวลานี้ฝ่ายชาตินิยมในกองทัพญี่ปุ่นเริ่มผลักดันให้มีการทำสงครามกับสหรัฐฯ แม้ยามาโมโตะจะคัดค้าน แต่เขาก็เริ่มวางแผนรับสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นต้องทำสงครามกับสหรัฐฯเอาไว้ด้วย เขาเชื่อว่าญี่ปุ่นไม่มีทางชนะสหรัฐฯในสงครามยืดเยื้อได้ เพราะสหรัฐฯมีขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมสูงกว่าญี่ปุ่นมาก ญี่ปุ่นต้องหาทางเอาชนะสหรัฐฯและเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่เกิน 6 เดือน
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1941 สหรัฐฯ อังกฤษ และฮอลแลนด์มีมาตรการคว่ำบาตรญี่ปุ่น ตอบโต้การที่ญี่ปุ่นยังคงรุกรานจีนอย่างต่อเนื่อง มาตรการที่ส่งผลร้ายแรงกับญี่ปุ่นที่สุดคือการที่ประเทศเหล่านี้ระงับการขายน้ำมันให้ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นไม่สามารถหลีกเลี่ยงสงครามกับชาติตะวันตกได้แล้ว
วันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ.1941 พลเอกโตโจ ฮิเดกิ (Tojo Hideki) ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของยามาโมโตะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น หลายฝ่ายเชื่อว่าอาชีพการงานของยามาโมโตะคงจะมาถึงจุดจบแล้ว แต่เขาก็ได้ดำรงตำแหน่งต่อไป เพราะความสามารถและความนิยมจากผู้ใต้บังคับบัญชา
วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 กองทัพเรือญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือเพิร์ล ฮาร์เบอร์ของสหรัฐฯในหมู่เกาะฮาวาย เป็นการเปิดฉากสงครามแปซิฟิก เรือรบผิวน้ำของสหรัฐฯจมหรือได้รับความเสียหายจำนวนมาก แต่เรือบรรทุกเครื่องบินกลับรอดไปได้ราวปาฏิหาริย์ ตลอดช่วงเวลาประมาณ 6 เดือนหลังจากนั้นกองทัพบกและกองทัพเรือญี่ปุ่นทำการรุกรบได้รับชัยชนะทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยามาโมโตะกลายเป็นวีรบุรุษของประเทศ แต่เขาก็ยังคงค้างคาใจที่ญี่ปุ่นยังไม่สามารถทำลายกองเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯได้
วันที่ 18 เมษายน ค.ศ.1942 สหรัฐฯเปิดปฏิบัติการดูลิตเติล (Doolittle Raid) ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด B-25 Mitchell จำนวน 16 ลำขึ้นบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินฮอร์เน็ต (USS Hornet) ไปทิ้งระเบิดกรุงโตเกียว แม้ปฏิบัติการนี้จะสร้างความเสียหายทางทหารต่อญี่ปุ่นได้น้อย แต่กลับส่งผลด้านจิตใจมาก เพราะเป้าหมายอยู่ใกล้ตัวพระจักรพรรดิมาก ยามาโมโตะจึงวางแผนโจมตีเกาะมิดเวย์ (Midway) เพื่อล่อกองเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯออกมาทำลาย แต่ทว่าสหรัฐฯกลับถอดรหัสของญี่ปุ่นและรู้แผนการของยามาโมโตะล่วงหน้า ส่งผลให้ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในยุทธนาวีมิดเวย์ (Battle of Midway) ในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1942 สูญเสียเรือบรรทุกเครื่องบินไป 4 ลำ
หลังยุทธนาวีมิดเวย์ สหรัฐฯก็เริ่มทำการรุกตอบโต้ญี่ปุ่น โดยยกพลขึ้นบกที่เกาะกัวดาลคานาล (Guadalcanal) ในหมู่เกาะโซโลมอน ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1942 หลังการสู้รบยืดเยื้อนาน 6 เดือน ญี่ปุ่นก็จำใจต้องถอยทัพ ยามาโมโตะจึงตัดสินใจเดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยทหารในหมู่เกาะต่างๆ ทางใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อฟื้นฟูขวัญกำลังใจของทหารญี่ปุ่นในแนวหน้า
วันที่ 14 เมษายน ค.ศ.1943 หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯถอดรหัสข้อความกำหนดการเดินทางของยามาโมโตะได้ ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) และพลเรือเอกเชสเตอร์ ดับเบิลยู. นิมิตซ์ (Chester W. Nimitz) ของสหรัฐฯออกคำสั่งให้สังหารยามาโมโตะ

วันที่ 18 เมษายน ค.ศ.1943 ขณะที่ยามาโมโตะโดยสารเครื่องบินทิ้งระเบิด Mitsubishi G4M หรือ Betty คุ้มกันโดยเครื่องบินขับไล่ Mitsubishi A6M Zero จำนวน 6 ลำ เดินทางจากเกาะราบวล (Rabaul) ไปยังเกาะบาลาเล่ (Balalae) ขบวนของเขาก็ถูกสกัดโดยฝูงเครื่องบินขับไล่ Lockheed P-38 Lightning ของสหรัฐฯ ระหว่างการสู้รบ เครื่องบินทิ้งระเบิด Betty ที่ยามาโมโตะโดยสารมาถูกยิงตกลงไปในป่าบนเกาะบูเกนวิลล์ (Bougainville)
ทหารญี่ปุ่นพบซากเครื่องบินของยามาโมโตะในวันรุ่งขึ้น ร่างของยามาโมโตะยังคงอยู่ในท่านั่งหลังตรง มือกำด้ามดาบคาตานะ (Katana) ไว้แน่น ผลชันสูตรพบว่ายามาโมโตะถูกกระสุนปืนกลหนักขนาด 12.7 มิลลิเมตร 2 นัดเสียชีวิต กองทัพญี่ปุ่นทำการฌาปนกิจร่างของเขาที่ปาปัวนิวกินี ก่อนจะนำอัฐิขึ้นเรือประจัญบานมูซาชิ (Musashi) กลับไปทำพิธีฝังที่กรุงโตเกียวอย่างสมเกียรติในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ.1943 เป็นการปิดฉากเรื่องราวของยอดนายทหารเรือของญี่ปุ่น สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
สวัสดี
21.07.2021