
ZU-23-2 เป็นปืนต่อสู้อากาศยานลากจูงขนาด 23 มิลลิเมตร 2 ลำกล้อง ที่สหภาพโซเวียตพัฒนาขึ้นช่วงปลายยุค 50 และเข้าประจำการในปี ค.ศ.1960 เป็นยุทโธปกรณ์ที่ถูกใช้งานแพร่หลายมากที่สุดรุ่นหนึ่ง สหภาพโซเวียตผลิตปืนต่อสู้อากาศยานรุ่นนี้ออกมามากกว่า 140,000 กระบอก นอกจากนี้ยังถูกผลิตภายใต้สิทธิบัตรในประเทศบัลแกเรีย โปแลนด์ อียิปต์ และจีน
ปืนต่อสู้อากาศยาน ZU-23-2 มีน้ำหนัก 950 กิโลกรัม มีขนาดยาว 4.57 เมตร กว้าง 2.88 เมตร สูง 1.22 เมตร มีขนาดความกว้างปากลำกล้อง 23 มิลลิเมตร ใช้กระสุนขนาด 23 x 152 มิลลิเมตร มีอัตราการยิงสูงสุด 2 ลำกล้องรวมกันมากกว่า 2,000 นัดต่อนาที แต่ปกติจะทำการยิงเป็นชุด ที่อัตราการยิงไม่เกิน 400 นัดต่อนาที เพื่อไม่ให้ลำกล้องร้อนเกินไป สามารถทำการยิงเป้าหมายอากาศยานที่ระยะยิงไกลสุดประมาณ 2.5 กิโลเมตร แต่ถ้าใช้กับเป้าหมายภาคพื้นดินจะมีระยะยิงไกลสุดประมาณ 2 กิโลเมตร ใช้เวลาเตรียมการยิงเพียง 30 วินาที ใช้พลประจำปืน 5 นาย
ZU-23-2 ถูกใช้งานในสนามรบจริงครั้งแรกในสงครามเวียดนาม โดยโซเวียตได้ส่ง ZU-23-2 พร้อมปืนต่อสู้อากาศยานรุ่นอื่นๆเช่นปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 37 มิลลิเมตร M1939 (61-K) ให้เวียดนามเหนือจำนวนมาก ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ามีเครื่องบินรบของสหรัฐฯถูก ZU-23-2 ยิงตกกี่ลำ แต่พิจารณาจากข้อมูลสถิติว่ากองทัพอากาศสหรัฐฯสูญเสียเครื่องบินรบไปมากกว่า 2,000 ลำในสงครามเวียดนาม (ถ้ารวมอากาศยานทุกประเภทของทุกเหล่าทัพ สหรัฐฯจะสูญเสียอากาศยานไปในสงครามเวียดนามมากกว่า 10,000 ลำ) โดยความสูญเสียเครื่องบินรบของสหรัฐฯมากกว่า 80% เกิดจากการถูกปืนต่อสู้อากาศยานยิงตก ขณะพยายามบินต่ำเพื่อหลบเรดาร์ของระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-75 Dvina (SA-2 Guideline) จึงมีความเป็นไปได้ว่ามีเครื่องบินรบสหรัฐฯหลายร้อยลำที่อาจจะถูก ZU-23-2 ยิงตก
นอกจากเวียดนามเหนือแล้ว โซเวียตก็ได้ส่ง ZU-23-2 ให้กลุ่มประเทศอาหรับใช้ในสงครามกับอิสราเอลด้วย อิสราเอลสามารถยึดปืนต่อสู้อากาศยานรุ่นนี้ได้เป็นจำนวนมาก
ระหว่างปฏิบัติการของโซเวียตในอัฟกานิสถาน โซเวียตพบว่าการติดตั้ง ZU-23-2 บนรถบรรทุก, รถสายพานลำเลียงพล MT-LB หรือรถสายพานลำเลียงพลร่ม BTR-D มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้งานแบบลากจูง เพราะช่วยเพิ่มความคล่องตัว สามารถทำการยิงขณะเคลื่อนที่ได้ ช่วยให้การคุ้มกันขบวนคอนวอยจากการซุ่มโจมตีของกลุ่มมูจาฮิดีนมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อโซเวียตถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ก็ได้มอบ ZU-23-2 ไว้ให้รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของอัฟกานิสถานใช้งานจำนวนมาก แต่เมื่อรัฐบาลล่มสลายลง ปืนต่อสู้อากาศยานเหล่านี้ก็ตกไปอยู่ในมือของกลุ่มตาลีบัน และพันธมิตรฝ่ายเหนือ (Northern Alliance) ใช้สู้รบกันเอง จนกระทั่งสหรัฐฯบุกอัฟกานิสถานในปี ค.ศ.2001
ZU-23-2 ยังถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในแทบทุกสมรภูมิตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซีย สงครามเชชเนีย สงครามรัสเซีย-จอร์เจีย สงครามลิเบีย สงครามซีเรีย การสู้รบในดอนบาส ฯลฯ
ปัจจุบันกองทัพรัสเซียยังคงใช้งาน ZU-23-2 อยู่ โดยมักจะติดตั้งบนรถบรรทุก นอกจากรัสเซียแล้ว ปืนต่อสู้อากาศยานรุ่นนี้ยังมีประจำการในกองทัพประเทศต่างๆมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก เช่นอัฟกานิสถาน แอลจีเรีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน บัลแกเรีย เบลารุส เวเนซุเอลา อียิปต์ กรีซ ซิมบับเว อินเดีย อิรัก อิหร่าน เลบานอน ลิเบีย โมซัมบิก เปรู โปแลนด์ ซีเรีย ซูดาน ยูเครน เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม ฯลฯ
สวัสดี
01.08.2021