สหรัฐฯมองหามิตรประเทศช่วยรับผู้ลี้ภัยอัฟกันที่เคยทำงานให้สหรัฐฯ

ภาพโดย kalhh จาก Pixabay

นับตั้งแต่สหรัฐฯและพันธมิตรถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน และกลุ่มตาลีบันสามารถรุกรบยึดพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว จนล่าสุดสามารถยึดกรุงคาบูลได้แล้ว หลายฝ่ายก็เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของชาวอัฟกันที่เคยทำงานให้กองทัพสหรัฐฯ เป็นไกด์ ล่าม ฯลฯ และสมาชิกในครอบครัว ว่าอาจจะถูกกลุ่มตาลีบันแก้แค้นได้ คนเหล่านี้ก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯมาเป็นเวลานานแล้ว แต่กระบวนการอนุมัติวีซ่าของสหรัฐฯกลับเป็นไปอย่างเชื่องช้า แม้แต่ตอนที่กลุ่มตาลีบันบุกมาจ่อถึงหน้าประตูบ้านแล้ว ข้อมูลจากสื่อ Forbes ระบุว่าสหรัฐฯพึ่งให้ความช่วยเหลือไกด์ชาวอัฟกันพร้อมสมาชิกในครอบครัวออกจากอัฟกานสิถานได้ไม่ถึง 2,000 คน จากจำนวนคนที่รออนุมัติวีซ่าและสมาชิกในครอบครัวมากกว่า 88,000 คน

ที่น่าสนใจก็คือแม้คนอัฟกันเหล่านี้จะเคยทำงานช่วยเหลือสหรัฐฯมาก่อน แต่แทนที่สหรัฐฯจะรีบพาคนเหล่านี้ออกจากอัฟกานิสถานไปที่สหรัฐฯในทันที หลังตาลีบันกลับมามีอำนาจ สหรัฐฯกลับต้องการให้ประเทศที่สามช่วยรับผู้ลี้ภัยเหล่านี้ไปก่อนชั่วคราว ระหว่างที่สหรัฐฯดำเนินการเรื่องเอกสารต่างๆ สื่อ Reuters รายงานว่าสหรัฐฯพยายามติดต่อหลายประเทศเช่นคาซัคสถาน ทาจิกิสถาน อุสเบกิสถาน แอลเบเนีย โคโซโว กาตาร์ ฯลฯ ให้ช่วยรับผู้ลี้ภัยอัฟกันไว้ชั่วคราว จนกว่าสหรัฐฯจะอนุมัติให้คนเหล่านี้เข้าประเทศได้ แต่แทบไม่มีประเทศไหนตอบรับเลย สาเหตุหนึ่งเพราะไม่มั่นใจว่าสุดท้ายสหรัฐฯจะอนุมัติวีซ่าให้คนเหล่านี้จริงหรือไม่ กลัวว่าสุดท้ายตนเองจะต้องเป็นคนเลี้ยงดูผู้ลี้ภัยอัฟกันเหล่านี้ตลอดไป ปัจจุบันมีเพียงแอลเบเนียและโคโซโวเท่านั้นที่ตอบรับคำขอของสหรัฐฯให้ช่วยรับผู้ลี้ภัยชาวอัฟกัน อ้างอิงจากสื่อ Radio Free Europe

ส่วนตัวผมเข้าใจประเทศต่างๆที่ไม่อยากรับผู้ลี้ภัยชาวอัฟกัน เพราะไม่มีใครการันตีสถานะของคนเหล่านี้ รวมถึงไม่มีการรับประกันว่าสุดท้ายสหรัฐฯจะอนุมัติวีซ่าให้คนเหล่านี้จริง และต้องใช้เวลานานแค่ไหน ดีไม่ดีจะกลายเป็นภาระต้องเลี้ยงดูผู้ลี้ภัยเหล่านี้ตลอดไป ทำนองเดียวกับหลายๆประเทศที่เคยรับผู้ลี้ภัยจนอ่วมมาแล้ว จะไปว่าประเทศเหล่านี้ไร้มนุษยธรรมก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมารับผิดชอบ สหรัฐฯและประเทศพันธมิตรที่เคยส่งทหารเข้าไปในอัฟกานิสถานต่างหากที่ควรต้องให้ความช่วยเหลือคนอัฟกันที่เคยทำงานให้ ต้องรับรองความปลอดภัยและหาทางอนุมัติวีซ่าและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้คนเหล่านี้โดยเร็วที่สุด ไม่ใช่โยนปัญหาให้ประเทศที่สาม ไม่อย่างนั้นก็ถือเป็นบทเรียนสำหรับคนที่คิดจะทำงานให้ต่างชาติ ว่าสุดท้ายแล้วอาจจะถูกเขาตัดหางปล่อยวัดได้

สวัสดี

16.08.2021

แสดงความคิดเห็น