
สื่อ Business Standard รายงานว่าสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐฯ 2 คนคือนายสตีฟ โคเฮน (Steve Cohen) และนายโจ วิลสัน (Joe Wilson) ได้เสนอร่างกฎหมาย ไม่ยอมรับวลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) เป็นประธานาธิบดีรัสเซีย ถ้าปูตินยังอยู่ในอำนาจต่อหลังหมดสมัยปัจจุบันในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ.2024 อ้างว่ารัฐธรรมนูญรัสเซียห้ามไม่ให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งเกิน 2 สมัย ปูตินจึงไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นประธานาธิบดีรัสเซียในสมัยต่อไป
ด้านรัสเซียก็รีบออกมาตอบโต้สหรัฐฯทันที สื่อ B92 รายงานว่าสมาชิกวุฒิสภาของรัสเซียวิจารณ์สหรัฐฯว่าแทรกแซงกิจการภายในของรัสเซีย พร้อมบอกด้วยว่าถ้าปูตินได้รับเลือกตั้งในสมัยต่อไป แล้วสหรัฐฯไม่ยอมรับ ก็จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ
ก่อนอื่นผมขอทบทวนความจำผู้อ่านก่อนสักนิดนะครับ เดิมรัฐธรรมนูญรัสเซียกำหนดให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่ง “ติดต่อกัน” ได้ไม่เกิน 2 สมัยๆ ละ 4 ปี เป็นเหตุผลที่หลังปูตินเป็นประธานาธิบดีครบ 2 สมัยระหว่างปี ค.ศ.1999 – 2008 แล้ว จึงมีการสลับให้นายดมิตรี เมดเวเดฟ (Dmitry Medvedev) มาเป็นประธานาธิบดีระหว่างปี ค.ศ.2008 – 2012 แล้วปูตินก็ไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน ระหว่างนั้นก็มีการแก้กฎหมายเพิ่มวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยละ 6 ปี ดังนั้นเมื่อปูตินกลับมาลงเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้งในปี ค.ศ.2012 จึงสามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกัน 2 สมัยได้ถึงปี ค.ศ.2024 นั่นเอง อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่แล้ว รัสเซียได้มีการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ มีคนเห็นชอบมากกว่า 78% กำหนดให้บุคคลหนึ่งสามารถเป็นประธานาธิบดีได้เพียง 2 สมัยเท่านั้น โดยไม่นับสมัยการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีก่อนหน้าที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้จะมีผล (set zero ใหม่หมด) เท่ากับว่าตามรัฐธรรมนูญใหม่ของรัสเซีย ปูตินพึ่งจะดำแหน่งประธานาธิบดีไปเพียงสมัยเดียวระหว่างปี ค.ศ.2018 – 2024 สมัยก่อนหน้านั้นไม่นับ ถ้าปูตินชนะการเลือกตั้งในปี ค.ศ.2024 ก็มีสิทธิเป็นประธานาธิบดีต่ออีกสมัยหนึ่งจนถึงปี ค.ศ.2030 (ขณะที่เมดเวเดฟสามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีก 2 สมัยเต็มๆ) แต่ ส.ส.สหรัฐฯจงใจตัดตอนรัฐธรรมนูญใหม่ของรัสเซียมาอ้างแค่บางส่วน เพื่อหวังผลทางการเมือง
ส่วนตัวผมเชื่อว่าสภาคองเกรสคงไม่โง่พอจะผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวออกมาหรอกครับ ต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและรัสเซียในอนาคตจะเลวร้ายแค่ไหน การที่มหาอำนาจนิวเคลียร์ยังมีช่องทางการทูตติดต่อกันไว้บ้างก็ยังดีกว่าตัดความสัมพันธ์กันไปเลย แต่การที่ร่างกฎหมายนี้ถูกเสนอขึ้นมาแต่แรกก็สะท้อนให้เห็นสภาพการเมืองภายในของสหรัฐฯได้เป็นอย่างดี
สวัสดี
19.11.2021