
(Nickel nitride/ Wikimedia Commons/ Public Domain)
ในงานแสดงอาวุธ Army-2021 เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว รัสเซียได้เปิดตัวรถรบทหารราบ BMP-3 รุ่นใหม่ติดตั้งป้อมปืน Berezhok แบบเดียวกับรถรบทหารราบ BMP-2M Berezhok รุ่นอัพเกรด ส่งผลให้อาวุธหลักของ BMP-3 รุ่นนี้เปลี่ยนจากปืนใหญ่ขนาด 100 มิลลิเมตรที่สามารถยิงจรวดต่อสู้รถถัง 9M117 Bastion จากในลำกล้องได้, ปืนใหญ่อัตโนมัติร่วมแกนขนาด 30 มิลลิเมตรและปืนกลร่วมแกนขนาด 7.62 มิลลิเมตร เปลี่ยนไปเป็นปืนใหญ่อัตโนมัติขนาด 30 มิลลิเมตร, ปืนกลร่วมแกนขนาด 7.62 มิลลิเมตร, เครื่องยิงลูกระเบิดอัตโนมัติขนาด 30 มิลลิเมตร และจรวดต่อสู้รถถัง Kornet-E จำนวน 4 ลูกแทน รวมถึงมีระบบภายในตัวรถที่ทันสมัยขึ้น สำหรับคุณสมบัติอื่นๆเรื่องการป้องกันตัว ความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ รวมถึงอาวุธรองคือปืนกลขนาด 7.62 มิลลิเมตร 2 กระบอกด้านหน้าตัวรถยังเหมือนเดิม
หลังจากรัสเซียเปิดตัว BMP-3 รุ่นติดป้อมปืน Berezhok ไปแล้ว ความคิดเห็นของชาวเน็ตที่มีต่อยานเกราะรุ่นนี้ก็แตกแยกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่งชื่นชอบที่ BMP-3 มีระบบต่างๆทันสมัยมากขึ้น ขณะที่อีกกลุ่มเสียดายปืนใหญ่ขนาด 100 มิลลิเมตรที่ถูกถอดออกไป ส่งผลให้อำนาจการยิงของ BMP-3 ลดลงเหลือพอๆกับรถรบทหารราบทั่วไปเท่านั้น
ส่วนตัวผมมองว่าความคิดเห็นทั้งสองฝั่งล้วนมีส่วนถูก ขึ้นอยู่กับว่าจะให้ความสำคัญกับคุณสมบัติด้านไหน โครงการพัฒนา BMP-3 เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1975 และเข้าประจำการเมื่อปี ค.ศ.1987 ระบบภายในของ BMP-3 รุ่นมาตรฐานจากยุคโซเวียตจึงยังเป็นรุ่นเก่า นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในการรบเวลากลางคืน เพราะมีเพียงกล้องอินฟราเรดซึ่งขีดความสามารถด้อยกว่ากล้องจับความร้อน (Thermal sight) รัสเซียพึ่งจะอัพเกรดติดตั้งกล้องจับความร้อนให้ BMP-3 เมื่อไม่นานมานี้เอง ส่วนลูกค้าต่างประเทศที่จัดหา BMP-3 ไปใช้งานก่อนหน้านี้ ก็อาจเลือกติดหรือไม่ติดกล้องจับความร้อนขึ้นกับกำลังทรัพย์ ดังนั้นเมื่อติดตั้งป้อมปืน Berezhok ซึ่งมีระบบตรวจการณ์ ระบบค้นหาเป้าหมาย และระบบควบคุมการยิงที่ทันสมัย รวมถึงมีกล้องจับความร้อนด้วย ก็จะส่งผลให้ BMP-3 มีความทันสมัยขึ้นมาก
เรื่องอำนาจการยิงก็เป็นประเด็นที่มีความสำคัญ สาเหตุที่ BMP-3 มีอำนาจการยิงสูงกว่ารถรบทหารราบทั่วไปด้วยปืนใหญ่ขนาด 100 มิลลิเมตรนั้น เป็นเพราะว่าโครงการเดิมของ BMP-3 จริงๆแล้ว โซเวียตต้องการพัฒนารถถังเบาสะเทินน้ำสะเทินบกรุ่นใหม่สำหรับทดแทน PT-76 ก่อนจะเปลี่ยนเป็นการพัฒนารถรบทหารราบแทน การที่ BMP-3 ติดปืนใหญ่ขนาด 100 มิลลิเมตรส่งผลให้มีอำนาจการยิงใกล้เคียงกับรถถังเบา สามารถใช้ยิงสนับสนุนทหารราบ ทำลายป้อมสนาม บังเกอร์ รังปืนกล ฯลฯ ของฝ่ายตรงข้าม รวมถึงสามารถต่อกรกับยานเกราะส่วนใหญ่ยกเว้นรถถังหลักได้ แม้ BMP-3 จะมีจรวดต่อสู้รถถัง Bastion ยิงจากลำกล้องปืนใหญ่ แต่จรวดรุ่นนี้เข้าประจำการตั้งแต่ปี ค.ศ.1981 ค่อนข้างเก่าแล้วและการเปลี่ยนอาวุธจากกระสุนปืนใหญ่เป็นจรวดระหว่างที่กำลังประจัญบานกันอยู่นั้นก็ไม่ค่อยสะดวกนัก ดังนั้น อาวุธของ BMP-3 รุ่นมาตรฐานจึงเหมาะสำหรับใช้ในภารกิจสนับสนุนทหารราบมากกว่าการต่อสู้รถถัง
อย่างไรก็ตามเมื่อติดตั้งป้อมปืน Berezhok แล้ว ขีดความสามารถในการต่อสู้รถถังของ BMP-3 จะเพิ่มขึ้นทันทีด้วยจรวดต่อสู้รถถัง Kornet-E ซึ่งมีระยะยิงไกลกว่า 8 กิโลเมตร แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่ปืนใหญ่ขนาด 100 มิลลิเมตรถูกถอดออกไป เหลือเพียงปืนใหญ่อัตโนมัติขนาด 30 มิลลิเมตรเท่านั้น อำนาจการยิงเหลือใกล้เคียงกับรถรบทหารราบทั่วไปเช่น M2 Bradley ของสหรัฐฯที่ติดปืนใหญ่อัตโนมัติขนาด 25 มิลลิเมตรและจรวดต่อสู้รถถัง TOW เป็นต้น แต่ถ้าไม่ได้จะทำลายป้อมสนามหรือยานเกราะที่มีการเสริมเกราะหรือโครงสร้างแน่นหนาเป็นพิเศษ แค่ปืนใหญ่อัตโนมัติขนาด 30 มิลลิเมตรก็เพียงพอใช้จัดการเป้าหมายส่วนใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ปืนใหญ่ขนาด 100 มิลลิเมตร
โดยภาพรวม ผมมองว่าการติดตั้งป้อมปืน Berezhok ให้ BMP-3 จะส่งผลให้ BMP-3 มีความเป็นรถรบทหารราบแท้ๆมากขึ้น ต่างจากรุ่นมาตรฐานซึ่งกลายร่างมาจากรถถังเบา มีอำนาจการยิงระดับที่เรียกว่าโอเวอร์คิล (Overkill) ไปมากสำหรับยานเกราะประเภทนี้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ด้วย
สวัสดี
18.02.2022