
(Bundesarchiv, Bild 183-J28732 / Pincornelly / CC-BY-SA 3.0)
ปืนกล Maschinengewehr 42 หรือ MG 42 เป็นปืนกลอเนกประสงค์ (Einheitsmaschinengewehr) ของกองทัพเยอรมันสมัยสงครามโลกครั้งที่สองพัฒนาต่อยอดมาจากปืนกล MG 34 ให้มีอัตราการยิงสูงขึ้น เพิ่มความเรียบง่าย ลดความซับซ้อนในสายการผลิต เพื่อให้สามารถผลิตออกมาจำนวนมากได้ เข้าประจำการในกองทัพเยอรมันเมื่อปี ค.ศ.1942 และถูกใช้งานจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
ปืนกล MG 42 อาจจัดเป็นปืนกลเบา (Light machine gun) หรือปืนกลหนัก (Heavy machine gun) ก็ได้ ขึ้นกับว่าติดตั้งบนขาทรายหรือขาหยั่ง มีขนาดยาว 1,220 มิลลิเมตร ความยาวลำกล้อง 530 มิลลิเมตร น้ำหนักปืนเปล่า 11.6 กิโลกรัม ใช้กระสุนขนาด 7.92 x 57 มิลลิเมตร Mauser บรรจุกระสุนด้วยสายกระสุนขนาด 50 หรือ 250 นัด ระยะยิงหวังผล 2,000 เมตร มีอัตราการยิงสูงถึง 1,200 นัดต่อนาที สูงกว่าปืนกลของฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นปืนกล Bren ของอังกฤษและ Browning ของสหรัฐฯมาก สามารถใช้ยิงกดหัว (suppressive fire) และข่มขวัญทหารราบฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี จนได้ฉายาว่าเลื่อยวงเดือนของฮิตเลอร์ (Hitler’s Buzzsaw) แต่เพราะอัตราการยิงสูงนี้เองส่งผลให้เมื่อทำการยิงต่อเนื่อง กระสุนจะหมดเร็วและลำกล้องก็จะเกิดความร้อนเร็วมาก จึงต้องทำการยิงเป็นชุดสั้นๆ หรือหยุดยิงเพื่อเปลี่ยนลำกล้องเป็นระยะๆ โดยการเปลี่ยนลำกล้องของปืนกล MG 42 นั้นจะถอดเปลี่ยนจากทางด้านข้าง จึงไม่เหมาะสำหรับการติดตั้งในยานเกราะที่มีพื้นที่น้อย ส่งผลให้ปืนกล MG 42 ไม่สามารถทดแทนบทบาทของปืนกล MG 34 รุ่นเดิมทั้งหมดได้
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง แม้เยอรมนีจะเป็นฝ่ายแพ้สงคราม แต่หลายประเทศก็ประทับใจในประสิทธิภาพของปืนกล MG 42 และได้นำเทคโนโลยีจากปืนกลรุ่นนี้ไปใช้ในการพัฒนาปืนกลรุ่นใหม่ เช่นปืนกล M60 ของสหรัฐฯ FN MAG ของเบลเยียม และ MG 51 ของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น ขณะที่เยอรมนีตะวันตกหลังได้รับอนุญาตให้ติดอาวุธใหม่เพื่อรับมือภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์ในสงครามเย็นก็ได้นำปืนกล MG 42 มาพัฒนาต่อยอด เปลี่ยนไปใช้กระสุนขนาด 7.62 x 51 มิลลิเมตรตามมาตรฐาน NATO กลายเป็นปืนกล MG 3 ซึ่งยังคงถูกใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
สวัสดี
17.06.2022

(Bundesarchiv, Bild 146-1983-109-14A / Woscidlo, Wilfried / CC-BY-SA 3.0)